
การจัดการพลังงานเป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยให้องค์กรสามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในการนำเสนอนี้ เราจะอธิบายถึง 8 ขั้นตอนสำคัญในการจัดการพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นไปตามกฎกระทรวงที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2552

ISO 50001 เป็นมาตรฐานระบบการจัดการพลังงานที่ช่วยให้องค์กรสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง มาตรฐานนี้กำหนดข้อกำหนดสำหรับการจัดทำนำไปปฎิบัติคงไว้ และปรับปรุงระบบการจัดการพลังงาน

ในยุคที่ความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองประเด็นสำคัญระดับโลก อาคารพลังงานสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Energy Building) ได้กลายเป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจอย่างมากทั่วโลก อาคารประเภทนี้มีความพิเศษตรงที่สามารถผลิตพลังงานได้เองในปริมาณที่เท่ากับหรือมากกว่าปริมาณที่ใช้ตลอดทั้งปี ทำให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด

Carbon Footprint ขององค์กร (Corporate Carbon Footprint: CFO) คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร ทั้งทางตรงและทางอ้อมโดยคิดคำนวณในรูปของปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า การทำ Carbon Footprint มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อองค์กรในหลายด้าน

เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน (CO2) เป็นกระบวนการที่จับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากแหล่งอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันไม่ให้เข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ก๊าซที่ถูกจับสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย

การตรวจสอบพลังงานตามแนวทาง ASHARE เป็นกระบวนการสำคัญในการวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารและโรงงาน โดยแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ Level 1 , 2 และ 3 ซึ่งแต่ละระดับมีความละเอียดและความเหมาะสมแตกต่างกันไป

ระบบทำความเย็นแบบรวมศูนย์ (DCS) เป็นระบบที่ให้บริการทำความเย็นแก่อาคาร หลายๆ อาคารในพื้นที่เฉพาะ แทนที่แต่ละอาคารจะมีระบบทำความเย็นแยกกัน DCS ผลิตน้ำเย็นจากโรงผลิตน้ำเย็นส่วนกลางและกระจายไปยังอาคารต่างๆ ผ่านเครือข่ายท่อใต้ดิน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ระบบบริหารจัดการพลังงานในอาคาร หรือ BEMS เป็นเทคโนโลยีอัจฉริยะที่ช่วย เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน โรงแรม โรงพยาบาล หรือห้างสรรพสินค้า โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดการใช้ พลังงานที่ไม่จำเป็น ลดค่าใช้จ่าย และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ระบบปรับอากาศและระบายอากาศประสิทธิภาพสูงเป็นหัวใจสำคัญของอาคารสมัยใหม่ ที่มุ่งเน้นการประหยัดพลังงาน การนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ในระบบ HVAC ช่วยลด การใช้พลังงานได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยยังคงรักษาสภาพแวดล้อมภายในอาคารให้สบายและมีคุณภาพอากาศที่ดี

มาตรฐาน ISO 14064 เป็นกลุ่มมาตรฐานสากลที่มุ่งเน้นการให้แนวทางและข้อกำหนดสำหรับการประเมิน ติดตาม รายงาน และทวนสอบการปล่อยและการลดก๊าซเรือนกระจก (GHG) ขององค์กร มาตรฐานนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับองค์กรที่ต้องการบริหารจัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของตนอย่างมีประสิทธิภาพ

มาตรฐาน ISO 14064-2:2019 เป็นกรอบการดำเนินงานระดับสากลที่กำหนดหลักการและ ข้อกำหนดสำหรับการประเมิน การตรวจติดตาม และการรายงานผลการลดก๊าซเรือนกระจกในระดับโครงการ มาตรฐานนี้มุ่งเน้นเฉพาะโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือเพิ่มการดูดซับก๊าซเรือนกระจก

มาตรฐาน ISO 14064-3:2019 เป็นข้อกำหนดพร้อมคำแนะนำสำหรับการตรวจสอบและการยืนยัน ความถูกต้องของการรายงานก๊าซเรือนกระจก มาตรฐานนี้มุ่งเน้นการสร้างความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสในกระบวนการรายงานก๊าซเรือนกระจกขององค์กรและโครงการต่างๆ

ISO 14064 เป็นมาตรฐานสากลที่ให้กรอบการทํางานสำหรับการวัดปริมาณและรายงานการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ของธุรกิจ ครอบคลุมทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรง (ขอบเขตที่ 1) ทางอ้อมจากพลังงาน (ขอบเขตที่ 2) และทางอ้อมอื่นๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่า (ขอบเขตที่ 3)

มาตรฐาน ISO 14067 เป็นมาตรฐานระดับสากลที่กำหนดหลักการ ข้อกำหนด และแนวทางในการวัดและรายงานคาร์บอนฟุตพรินท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) มาตรฐานนี้มุ่งเน้นที่การประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การได้มาซึ่งวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การใช้งาน ไปจนถึงการกําจัดซาก

การประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment หรือ LCA) เป็นส่วนสำคัญของมาตรฐาน ISO 14067 ที่ให้กรอบการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ตลอดวัฏจักรชีวิต ทั้งหมด มาตรฐาน ISO 14067 ใช้ LCA เพื่อวัดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) โดยเน้นที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ตั้งแต่การสกัดวัตถุดิบไปจนถึงการกำจัดเมื่อหมดอายุการใช้งาน